ช็อกไม่เว้นวัน! โมร็อกโกเข้าตัดเชือก-ไก่ขย้ำสิงโต

0 คนดู

ฟุตบอลโลก 2022 นำความเซอร์ไพรส์มาเสิร์ฟได้ไม่เว้นแต่ละวัน ล่าสุดกลายเป็น โมร็อกโก ม้านอกสายตาจากแอฟริกาเหนือ เขี่ย โปรตุเกส ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทะยานเข้ารอบตัดเชือกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ขณะที่อีกคู่ แฮร์รี่ เคน กัปตันทีมชาติอังกฤษ พลาดจุดโทษในช่วงเวลาชี้้้้เป็นชี้ตาย จน อังกฤษ พ่าย ฝรั่งเศส 1-2 ร่วงออกจาก เวิลด์ คัพ ฉบับกาตาร์ในที่สุด

รอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 มาถึง 2 คู่สุดท้ายในวันเสาร์ที่ผ่านมา เริ่มจากคู่ โมร็อกโก พบ โปรตุเกส ซึ่งตัวแทนจากแอฟริกาต้องปรับหลังบ้านเล็กน้อยหลัง นาเยฟ อาแกร์ด บาดเจ็บ ส่วนทาง แฟร์นันโด ซานโตส ยังคงดร็อป คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นั่งสำรอง เพื่อเปิดทางให้ กอนซาโล่ รามอส เจ้าของแฮตทริกในเกมถล่ม สวิตเซอร์แลนด์ 6-1 รอบที่แล้ว ลงตัวจริงต่อ

กระนั้น เกมรุกของทีมฝอยทองไม่อาจเจาะแนวรับโมร็อกโกที่นำโดยกัปตันทีม โรแม็ง ซาอิสส์ และนายด่านจอมหนึบ ยาสซีน “โบโน่” บูนู เข้าไปได้ จนในช่วงท้ายครึ่งแรก โมร็อกโก ก็ทำเซอร์ไพรส์เจาะประตูนำไปก่อนจากลูกครอสเข้าหน้าประตู ยุสเซฟ เอ็น-เนซีรี่ ขึ้นโขกตัดหน้านายทวาร ดีโอโก้ คอสต้า เข้าประตูไปพอดิบพอดี

ครึ่งหลัง โปรตุเกส โถมเกมรุกขึ้นอีกระดับ โดยมีการส่ง โรนัลโด้ ลงสำรองมาเพิ่ม และ CR7 ก็มีโอกาสดีที่จะพังประตูตีเสมอตอนทดเจ็บ จากการทะลุเข้าไปส่องในเขตโทษทางขวา ทว่าก็ไม่ผ่านมือ ยาสซีน บูนู แต่อย่างใด จนสุดท้ายเกมจบลง โมร็อกโก ชนะ 1-0 โปรตุเกส ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายบอลโลกอีกครั้ง และ โรนัลโด้ เดินร่ำไห้ออกจากสนาม ด้วยความที่นี่คือเกมฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของชายวัยย่าง 38 ปีอย่างเขา และความหวังในการผงาดแชมป์โลกครั้งแรก ต้องมีอันสิ้นสุดลงไป

สำหรับ โมร็อกโก ของกุนซือ วาลิด เรกรากี เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ต่อเนื่อง เป็นชาติแอฟริกันและอาหรับที่เข้าถึงรอบตัดเชือกฟุตบอลโลกเป็นรายแรก รวมถึงมีโอกาสขึ้นบัลลังก์แชมป์โลกสมัยแรกด้วยเช่นกัน ทั้งยังเพิ่งเสียไปเพียงประตูเดียวเท่านั้นจากการเล่น 5 นัดในฟุตบอลโลกครั้งนี้

ส่วนในคู่ดึก บิ๊กแมตช์ของประเทศเพื่อนบ้าน อังกฤษ พบ ฝรั่งเศส เกมนี้ต่างฝ่ายต่างยึด 11 คนแรกชุดเดิมลงสนาม สิงโตคำรามนำมาโดย แฮร์รี่ เคน, ฟิล โฟเด้น, บูกาโย่ ซาก้า, จู๊ด เบลลิงแฮม, แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ส่วนตราไก่ให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, คีลิยัน เอ็มบัปเป้, อองตวน กรีซมันน์, อุสมัน เดมเบเล่ รวมพลังเข้าทำ

เป็น ฝรั่งเศส ที่ขยับสกอร์นำ 1-0 อย่างรวดเร็ว ออเรเลียง ชูอาเมนี่ ตะบันจากหน้าเขตโทษผ่านมือ จอร์แดน พิคฟอร์ด เข้าไปในนาทีที่ 17 แต่จากนั้น อังกฤษ ก็ทวงคืน 1-1 ตอนต้นครึ่งหลัง จากจุดโทษที่ ซาก้า โดน ชูอาเมนี่ ขัดขาล้มลงไป และ แฮร์รี่ เคน ตะบันผ่าน อูโก้ โยริส ไม่พลาด (เป็นประตูทำสถิติยิงสูงสุดในทีมชาติ 53 ลูก เทียบเท่า เวย์น รูนี่ย์) ทว่าเข้าช่วงท้ายเกม นาที 78 กรีซมันน์ ก็ครอสแม่นๆ ให้ ชิรูด์ ทิ่มโขกตัดหน้า แม็กไกวร์ เข้าไปให้ ฝรั่งเศส นำ 2-1

ท้ายเกมหลังจากนั้น อังกฤษ มีโอกาสดีในการตามตีเสมอรอบสอง เมื่อมาได้จุดโทษจากวีเออาร์ ที่ตัวสำรอง เมสัน เมาท์ โดน เตโอ เอร์นันเดซ กระแทกล้มหน้าทิ่ม อย่างไรก็ตาม แฮร์รี่ เคน กลับสังหารจุดโทษข้ามคานออกไปอย่างน่าผิดหวัง รวมถึงฟรีคิกหน้าเขตโทษในช่วงทดเวลานาทีสุดท้าย มาร์คัส แรชฟอร์ด กดเสยคานออกไปแค่คืบเท่านั้น จนจบที่ ฝรั่งเศส กำชัย 2-1

ฝรั่งเศส ยังอยู่ในเส้นทางป้องกันแชมป์ โดยจะตัดเชือกกับอดีตประเทศอาณานิคมอย่าง โมร็อกโก ในวันพุธที่ 14 ธ.ค. นี้ 

ส่วนทางฝั่ง อังกฤษ ยังคงไปไม่ถึงดวงดาวนับตั้งแต่แชมป์โลกสมัยแรก 1966 เป็นต้นมา โดย 4 ทัวร์นาเมนต์หลังสุดตกไม่ซ้ำรอบ แอฟริกาใต้ 2010 ตกรอบ 16 ทีม, บราซิล 2014 ตกรอบแรก, รัสเซีย 2018 ตกตัดเชือกและเป็นอันดับ 4 ก่อนที่ กาตาร์ 2022 จะตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย

สำหรับ แฮร์รี่ เคน เผยหลังเกมว่าขอเป็นคนรับผิดชอบกับการพลาดจุดโทษ ที่่ทำให้ทีมต้องตกรอบ 8 ทีมฟุตบอลโลก “โดยส่วนตัวแล้วมันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้ รวมไปถึงทีมด้วย ผมไม่สามารถแสดงความภูมิใจให้กับนักเตะคนอื่นๆ ได้มากกว่านี้อีกแล้ว พวกเรามีช่วงเวลาที่ดีกว่า มีโอกาสที่ดีกว่า แต่ฟุตบอลขึ้นอยู่กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในฐานะกัปตันทีมและคนที่พลาดจุดโทษ ผมขอรับผิดชอบในเรื่องนั้น”

“ผมไม่สามารถกล่าวโทษการเตรียมตัวของตนเองหรือรายละเอียดต่างๆ ก่อนเกมได้ ผมรู้สึกมั่นใจในการรับหน้าที่ ก็แค่ไม่ได้จัดการในทิศทางอย่างที่ผมต้องการ มันเป็นสิ่งที่ผมต้องมีชีวิตไปกับมัน และยอมรับในสิ่งนั้นอย่างกล้าหาญ”

แชร์ให้เพื่อน